การสัมมนาภาคประชาสังคมครั้งที่ 1/2564 ณ หอศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม่

การพัฒนากระบวนการเพื่อขับเคลื่อนประชาสังคมเมืองเชียงใหม่

เริ่มต้นสัมมนาจากคำถามของคุณป็อป (คุณรุจิพัฒน์ สุวรรณสัย) ผู้ประกอบการย่านวัดล่ามช้าง ที่ตั้งประเด็นถึงการพัฒนาเมืองเชียงใหม่กับคำถามในใจตัวเองที่ว่า “ทำไมคนในชุมชนไม่สามารถสร้างโจทย์ได้เอง?” กล่าวคือ การขับเคลื่อนภาคประชาสังคมเกิดขึ้นทุก ๆ ปี ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของงานวิจัยหรือการลงพื้นที่ทำจริงของทั้งหน่วยงาน องค์กร หรือการรวมกลุ่มกันขึ้นมาของประชาชน โดยที่ทุกคนมีโจทย์หรือวิธีในการแก้ปัญหาให้กับเมืองในแบบของตัวเอง ซึ่งเป็นไปด้วยความหลากหลายโดยที่ประชาชนในพื้นที่อาจจะไม่ได้มีความต้องการแบบนั้นหรือมีวิธีแก้ปัญหาที่ตอบโจทย์มากกว่าอันเนื่องมาจากเป็นคนในพื้นที่

ดังนั้น เพื่อไม่ให้งานประชาสังคมจบเป็นเพียงแค่งานวิจัยงานหนึ่ง แต่ต้องมีการส่งต่อให้กับเมืองก่อเกิดเป็นต้นแบบในแผนการพัฒนาเมือง จึงเกิดการรวมกลุ่มภาคประชาสังคมขึ้นมา

จากการวิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์ของรัฐ ทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนงานขององค์บริการส่วนจังหวัดในอดีตของ อ.สันต์ (รศ.ดร. สันต์ สุวัจฉราภินันท์) แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนหลายข้อของแผนดังกล่าว ประกอบด้วย 5 ข้อสำคัญ ดังนี้

  1. โครงสร้างของภาครัฐ เพราะโครงสร้างที่แข็งเกร็งมากเกินไปของภาครัฐ ทำให้การเปลี่ยนแปลงในแผนยุทธศาสตร์ โครงการประชาสังคมเกิดขึ้นได้ยาก
  2. การควบคุมยุทธศาสตร์ ส่งผลให้ยุทธศาสตร์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ยาก
  3. การควบคุมงบประมาณของ สตง. ทำให้ไม่เกิดการประมูลโครงการ
  4. วัดผลโดยปริมาณมากกว่าคุณภาพ ตัวอย่างเช่น การวัดความเจริญของเมืองจากความกว้าง และจำนวนถนน มากกว่าการคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของคนอยู่
  5. สภาวะรับทำเองทั้งหมด คือ การไม่ยอมปล่อยวางให้กับหน่วยงานหรือองค์กรที่มีความสามารถเฉพาะด้านในการพัฒนาเมืองทำงานเหล่านี้

ทางด้านของ อ.ภู (ผศ.ดร.จิรันธนิน กิติกา) ได้รับมอบหมายให้สร้างกลไกการขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่ผ่านเพลทฟอร์มออนไลน์ ในรูปแบบของ Facebook Page และ Website ซึ่งมีชื่อว่า “เชียงใหม่ฉันจะดูแลเธอ” เพื่อรวบรวมผู้คนในเมือง และเป็นฐานข้อมูลของประเด็นเมือง เพื่อสร้างกลไลใหม่ๆที่เกิดขึ้นระหว่างประชาสังคม และผู้คนในเมือง

ในส่วนของ อ.แฟน (อ.อจิรภาส์ ประดิษฐ์) ได้นำข้อมูลที่ได้จัดทำและรวบรวมมานำเสนอ ซึ่งทำให้เห็นถึงการขยายตัวของเมืองที่เกิดจากนโยบายของรัฐ ทั้งก่อนและหลังประกาศใช้ผังสีของเมืองเชียงใหม่ โดยข้อมูลสำคัญที่ถูกนำเสนอคือ การที่เมืองนั้นค่อย ๆ หนาแน่นและการขยายตัวของเมืองเพิ่มขึ้นประมาณ 1 เท่าตัวในเวลาเพียงแค่ 10 ปี ตรงกันข้ามกับจำนวนประชากรที่เกิดจากการสำรวจของเทศบาลนครเมืองเชียงใหม่ที่มีจำนวนลดลงเป็นอย่างมาก แต่อาคารที่ใช้เป็นที่พักอาศัยมีจำนวนเพิ่มขึ้นสวนทางกับจำนวนประชากร

หลังจากการนำเสนอข้อมูลของ อ.สันต์ อ.ภู และ อ.แฟน คุณป็อป ได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับความจำเป็นที่ภาคประชาสังคมในเชียงใหม่จะต้องร่วมมือกันว่า การทำงานของภาคประชาสังคมที่ผ่านมานั้นมีทุกอย่าง ทั้งข้อมูล และเครื่องมือที่ใช้ช่วยเหลือเมือง แต่ไม่มีทิศทางที่แน่นอนในการใช้งานทุกสิ่งทุกอย่างที่กรอบไว้ ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการแก้ปัญหาให้กับคนที่มีความต้องการอันหลากหลาย ดังนั้น คุณป็อปจึงต้องการให้คนเมืองได้รับสิ่งที่พอดีกับความต้องการที่เกิดจากการร่วมมือกันของประชาชนและภาคประชาสังคมจนมีความพอดีในการแก้ปัญหาให้กับเมือง ซึ่งจะเป็นการพัฒนารากฐานนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ผู้เข้าร่วมการประชุมได้เสนอถึงประเด็นธรรมชาติของภาคประชาสังคมที่มี 2 ขั้ว ได้แก่ ดำเนินการทำงานประชาสังคมด้วยตนแองทำงานร่วมกับประชาชน และการดำเนินการทำงานกับภาครัฐ

กระบวนการมีส่วนร่วมกันของภาคประชาสังคมและภาครัฐ จะเกิดปัญหาบางอย่างอยู่เสมอ กล่าวคือ ภาคประชาสังคมจะลงสำรวจพื้นที่พูดคุยกับประชาชนจนเห็นถึงปัญหา จากนั้นจะส่งปัญหาที่พบเจอไปให้รัฐพิจารณาหาหนทางการแก้ไข ซึ่งถ้าเสียงที่ส่งไปดังมากพอก็จะมีการพิจารณาต่อ แต่รัฐก็จะคิดในรูปแบบของรัฐซึ่งมันไม่ตอบรับกับความต้องการจริง ๆ ของประชาชน ถึงแม้เชียงใหม่จะมีภาคประชาสังคมที่แข็งแกร่งแต่ก็ยังมีปัญหาเดิมอยู่ คือการที่ขาดพื้นที่ตรงกลางในการรวมกลุ่มกันทำงาน

จากนั้นคุณสามารถ (คุณสามารถ สุวรรณรัตน์) จากชุมชนวัดหมอคำตวงได้เสนอความคิดเห็นว่า การที่จะให้พีระมิดมันกลับด้านนั้นควรจะมีพื้นที่ตรงกลางให้คนทุกกลุ่มได้มาคุยกันและพัฒนาเมืองร่วมกัน ที่ผ่านมาการพัฒนาเมืองในส่วนของภาครัฐนั้นอ่อนแอ จึงทำให้เกิดภาคประชาสังคมขึ้นมา

ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาสังคมเชียงใหม่ทั้งการประชุมครั้งต่อไป และความคืบหน้าของการขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่ ได้ที่เพจ เชียงใหม่ฉันจะดูแลเธอ นะครับ