นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าทางเหนือของประเทศเยอรมันนี จะประสบกับสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้น อุณหภูมิเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น 2.8-4.7 °C ภายในสิ้นศตวรรษนี้ และเสี่ยงต่ออุทกภัยจากปริมาณน้ำฝนที่ไหล่บ่า
รัฐบาลเยอรมันนีมิได้นิ่งนอนใจ กระจายทุนให้ท้องถิ่นเพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อน โดยมีพื้นที่ต้นแบบเป็นเมืองฮัมบูร์ก ซึ่งมีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โจทย์การสร้างพื้นที่สีเขียวท่ามกลางเมืองอันหนาแน่น ทำให้กระทรวงสิ่งแวดล้อมและพลังงานของเมืองฮัมบูร์กวางแผนย้ายสีเขียวบนดิน ไปอยู่บนหลังคาอาคารเอกชนและรัฐ โดยตั้งเป้าสร้างหลังคาเขียวพื้นที่ 1ล้านตร.ม.ให้ได้ภายในปี 2020 ภายใต้ทุนรวมแปดแสนยูโร เราลองมาดูกันว่า สวนบนที่สูงนี้จะส่งผลอย่างไรต่อเมืองและเยอรมันนีทำอย่างไรให้ฝันนี้สำเร็จเกินกว่าที่วางเอาไว้
นอกเหนือจากเป็นพื้นที่สันทนาการหลังคาเขียวแก้ปัญหาอะไรได้อีกบ้าง
ปัญหาอุณหภูมิ
ลดปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง (urban heat island effect) สร้างสภาวะสบายและลดการใช้พลังงานของอาคาร ลดค่าใช้จ่ายจากระบบทำความร้อนเมื่ออากาศหนาว และลดภาระเครื่องปรับอากาศในหน้าร้อนจากการระเหยความชื้นและลดการนำความร้อน
ปัญหาน้ำท่วม
ปริมาณน้ำฝนที่เอ่อล้น (stormwater) เป็นสาเหตุสำคัญของอุทกภัยในเมือง หลังคาเขียวเพิ่มการกักเก็บน้ำฝนได้ถึง 40-90% ช่วยลดปริมาณน้ำฝนที่จะไหลไปยังท่อระบายน้ำ ป้องกันการท่วมขัง ลดภาระในระบบบำบัดน้ำเสีย และในอนาคตมนุษย์จะมีความต้องการน้ำเพิ่มขึ้น เมืองหลังคาเขียวช่วยให้เมืองมีเสถียรภาพทางทรัพยากรน้ำหากบริหารจัดการอย่างถูกต้อง
ปัญหามลพิษ
กิจกรรมมนุษย์ในแต่ละวันสร้างมลพิษสะสมให้เมือง ขยะ ฝุ่นเผาไหม้ สารเคมี โลหะหนัก เมื่อฝนตกน้ำจะไหลเข้าสู่ระบบชลประทาน หลังคาเขียวเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกรองมลพิษออกจากน้ำฝน เมื่อเมืองสะอาด พืชและสัตว์ก็กลับมาสร้างความหลากหลายทางชีวภาพอีกครั้ง วันนี้นกนางนวลทะเลกว่า 5,000 ตัวพบบ้านใหม่ในฮัมบูร์ก
การเปลี่ยนนโยบายให้กลายเป็นความจริงอาศัยหลักการสี่ด้านคือ
1.การสนับสนุนทางการเงิน 2.การเจรจาสื่อสาร 3.นโยบายกฎระเบียบ 4.การสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์
การสนับสนุนทางการเงิน
เจ้าของอาคารเก่าและใหม่ ที่มีพื้นที่บนอาคารขนาด 20-100 ตรม หากสมัครใจเข้าร่วมโครงการหลังคาเขียว จะได้รับเงินสนับสนุน 40-60% ของค่าก่อสร้าง ค่าวัสดุ ผู้รับเหมา สำหรับพื้นที่ต่ำกว่า 20 ตร.ม.ที่ผิวดินหนา 8 ซม. จะได้รับเงินสนับสนุน 14 ยูโร/ตร.ม. หรือถึง € 56/ตร.ม. สำหรับผิวดินหนา 50 ซม. จำนวนเงินอุดหนุนสูงสุดถึง 100,000 ยูโร ดำเนินงานผ่านธนาคาร IFB ของฮัมบูร์ก
การเจรจาสื่อสาร
มีการจัดจ้างทีมสื่อสารและนักวิจัยเป็นเวลา 2-3 ปีเต็มเพื่อออกแบบวิธีโปรโมทสารพัดรูปแบบ ผ่านแคมเปญ “On Your Roofs, Get Set, Green!” ทั้งโปสเตอร์ ใบปลิว บทความ สื่อออนไลน์ ถูกประชาสัมพันธ์อย่างแข็งขันไปทั่วเมือง ไปจนถึงการจัดเตรียมบทพูดและให้ข้อมูลกับผู้เป็นกระบอกเสียง อย่างนักการเมืองท้องถิ่น ผู้บริหาร สถาปนิก วิศวกร นักเศรษฐศาสตร์ จนเกิดความตระหนักรู้ถ้วนทั่วกัน
นโยบายและกฎระเบียบ
ปรับแผนและกฎต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น แผนพัฒนาผังเมือง กฎหมายอาคารเมืองฮัมบูร์ก กฎหมายบำบัดน้ำเสีย ข้อบังคับการปลูกพืชบนอาคาร ผังสีเมือง ให้ส่งเสริมการสร้างหลังคาเขียวอย่างสอดคล้องกัน
การสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์
ข้อมูลเป็นตัวช่วยให้รัฐวางแผนจัดการและประชาชนตัดสินใจเข้าร่วมได้ดีขึ้น นักวิจัยและมหาวิทยาลัย HafenCity จะเป็นค้นคว้าให้ข้อมูลด้านต่างๆเกี่ยวกับหลังคาเขียว เช่น การประเมินความเป็นไปได้ ผลดี ผลเสีย ปริมาณน้ำที่จะกักเก็บได้ฯลฯ รวมถึงคำแนะนำที่ไปประยุกต์ใช้ทั่วทั้งเยอรมนีและยุโรป
เมื่อทีมวิจัยสำรวจทั่วเมืองฮัมบูร์กจนแน่ใจว่าหลังคาเมืองกว่า70% พร้อมรับการติดตั้ง จึงคำนวณค่าใช้จ่ายเพื่อส่งต่อให้ทีมสื่อสารโน้มน้าวชาวเมืองให้ร่วมมือสร้างเมืองที่ทนทานต่อภาวะโลกร้อนไปด้วยกัน
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
ค่าใช้จ่ายต่อพื้นที่ 300 ตรม หลังคาเขียวจะอยู่ที่ € 9,500 ส่วนหลังคาปกติอยู่ที่ € 3,000 แม้ว่าหลังคาเขียวค่าบำรุงรักษาสูงจะกว่าเล็กน้อย แต่จะมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าหลังคาเรียบทั่วไปถึงสองเท่า สำหรับยุโรปจะมีอายุใช้งานอยู่ที่ 30-50 ปี ประกอบกับค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลดลงตั้งแต่ 2-44%เนื่องจากหลังคาเขียวทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนเพิ่มเติม รวมถึงผู้ติดตั้งหลังคาเขียวจะได้รับงดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมน้ำฝนลง 50% ดังนั้นเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายเฉลี่ยตลอดระยะเวลา 40 ปีแล้วจะมีจำนวนไล่เลี่ยกัน ในขณะที่หลังคาเขียวให้คุณประโยชน์หลายด้านมากกว่า
ผลสัมฤทธ์ของหลังคาเขียวในฮัมบูร์ก
โครงการหลังคาเขียวเริ่มต้นในปี 2014 ในเวลานั้นมีอาคารหลังคาเขียว 80 เฮคเตอร์ ห้าปีที่ผ่านมาหลังคาเขียวมีปริมาณมากกว่า 124 เฮคเตอร์ แบ่งเป็นอาคารพักอาศัยที่สร้างขึ้นใหม่ 44 เฮคเตอร์ อาคารพาณิชย์ 66 เฮคเตอร์ เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ 20% รวมหลังคาเขียวทั้งหมด ณ ปัจจุบัน มีพื้นที่มากกว่าสวนสาธารณะประจำเมือง Planten un Blomen ที่มีขนาด45 เฮคเตอร์ถึงเท่าตัว
ย้อนกลับมาที่เชียงใหม่
อากาศที่ร้อนขึ้นทุกปี น้ำที่เอ่อล้นท่อยามฝนตกหนัก ฤดูฝุ่นพิษที่หนักขึ้นเรื่อยๆ เราเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าชาวเชียงใหม่ทุกคนต้องการให้เมืองดีขึ้น เชิญร่วมออกความเห็นได้ที่นี่